"สถิตย์" ชี้รัฐบาลไม่ให้ความสำคัญงบ’67 ไร้นโยบายสำคัญ แนะรื้อโครงสร้างงบขนาดใหญ่
อดีตปลัด ก.คลัง ซัด รบ.ไม่ให้ความสำคัญงบ 2567 ไร้นโยบายสำคัญ ไม่นำไปสู่ประเทศที่พัฒนา แนะรื้อโครงสร้างงบขนาดใหญ่
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 8 มกราคม ที่รัฐสภา นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) อดีตปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึง การจัดทำงบประมาณปี 2567 ของรัฐบาลว่า รัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับนโยบายรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ เพราะมีเวลาในการมาดูแลงบจำกัด ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ฟังดูแล้วไม่สมเหตุสมผลมากนัก เพราะในหลักการเวลาที่ผ่านมากว่า 100 วันจะสังเกตเห็นว่า รัฐบาลขยันทำงานมากแต่ไม่ได้ให้เวลาเพียงพอในการดูแลงบประมาณ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการบริหารประเทศ
นายสถิตย์ กล่าวต่อว่า เมื่อมองในภาพรวมของงบ 67 แล้วนอกจากที่ไม่ได้นำนโยบายสำคัญมาบรรจุในงบประมาณแล้ว ยังไม่ได้มองในระยะปานกลางหรือยาว ที่จะทำให้ประเทศไทยพัฒนาขึ้นกว่าเดิม เพราะเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศไทยคือต้องการให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือหลายคนใช้คำว่าพ้นจากประเทศกับดักรายได้ปานกลาง
นายสถิตย์ กล่าวอีกว่า ตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ 20 ปี ประเทศจะพ้นกับดักความยากจน ระดับตัวเลขทางเศรษฐกิจจะต้องเติบโตพัฒนาอย่างน้อยร้อยละ 5 ต่อปี ถึงจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้ในปี 2580 แต่จากการคาดการณ์งบประมาณปานกลางของรัฐบาลปรากฏว่ายังไม่ถึงร้อยละ 5 ต่อปี แม้ในรายจ่ายงบประมาณจะมีการกำหนดไว้ว่าจะทำงบประมาณขาดดุลต่อเนื่องไปอีกประมาณร้อยละ 3.4 ต่อปีไปจนถึงปี 2570 ก็ตาม แต่ไม่ได้แสดงนัยอะไรที่ให้เห็นว่าการทำงบประมาณเหล่านั้นจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้โตได้ถึงร้อยละ 5 เพื่อเป็นพื้นฐานในการนำไปสู่ยุทธศาสตร์ของการทำให้ประเทศไทยไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะงบการลงทุนมีเพียงร้อยละ 20.6 เท่านั้น และงบประมาณส่วนใหญ่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนหนทางเป็นหลัก แต่เรื่องอื่นๆ ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานในการพัฒนาประเทศก็สำคัญเช่นเดียวกัน ฉะนั้นควรสร้างความสมดุลของโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อทำให้ประเทศพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจในอนาคตข้างหน้าด้วยระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ เพิ่มเติมจากระบบปัจจุบัน
"อีกงบที่น่าสังเกตคืองบการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น ที่ควรให้งบประมาณกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีรายได้น้อยมากกว่าให้งบประมาณกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีรายได้ดีอยู่แล้ว และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีรายได้ดีอยู่แล้วหาทางจัดเก็บรายได้ของตนเองให้มากขึ้น หากโครงสร้างของงบประมาณยังเป็นอย่างนี้ การปกครองส่วนท้องถิ่นก็ไม่เต็มศักยภาพ การกระจายไปสู่ท้องถิ่นที่ยากจนก็เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นโครงสร้างจึงต้องรื้อกันขนานใหญ่ เพื่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ" นายสถิตย์ กล่าว
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 8 มกราคม ที่รัฐสภา นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) อดีตปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึง การจัดทำงบประมาณปี 2567 ของรัฐบาลว่า รัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับนโยบายรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ เพราะมีเวลาในการมาดูแลงบจำกัด ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ฟังดูแล้วไม่สมเหตุสมผลมากนัก เพราะในหลักการเวลาที่ผ่านมากว่า 100 วันจะสังเกตเห็นว่า รัฐบาลขยันทำงานมากแต่ไม่ได้ให้เวลาเพียงพอในการดูแลงบประมาณ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการบริหารประเทศ
นายสถิตย์ กล่าวต่อว่า เมื่อมองในภาพรวมของงบ 67 แล้วนอกจากที่ไม่ได้นำนโยบายสำคัญมาบรรจุในงบประมาณแล้ว ยังไม่ได้มองในระยะปานกลางหรือยาว ที่จะทำให้ประเทศไทยพัฒนาขึ้นกว่าเดิม เพราะเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศไทยคือต้องการให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือหลายคนใช้คำว่าพ้นจากประเทศกับดักรายได้ปานกลาง
นายสถิตย์ กล่าวอีกว่า ตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ 20 ปี ประเทศจะพ้นกับดักความยากจน ระดับตัวเลขทางเศรษฐกิจจะต้องเติบโตพัฒนาอย่างน้อยร้อยละ 5 ต่อปี ถึงจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้ในปี 2580 แต่จากการคาดการณ์งบประมาณปานกลางของรัฐบาลปรากฏว่ายังไม่ถึงร้อยละ 5 ต่อปี แม้ในรายจ่ายงบประมาณจะมีการกำหนดไว้ว่าจะทำงบประมาณขาดดุลต่อเนื่องไปอีกประมาณร้อยละ 3.4 ต่อปีไปจนถึงปี 2570 ก็ตาม แต่ไม่ได้แสดงนัยอะไรที่ให้เห็นว่าการทำงบประมาณเหล่านั้นจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้โตได้ถึงร้อยละ 5 เพื่อเป็นพื้นฐานในการนำไปสู่ยุทธศาสตร์ของการทำให้ประเทศไทยไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะงบการลงทุนมีเพียงร้อยละ 20.6 เท่านั้น และงบประมาณส่วนใหญ่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนหนทางเป็นหลัก แต่เรื่องอื่นๆ ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานในการพัฒนาประเทศก็สำคัญเช่นเดียวกัน ฉะนั้นควรสร้างความสมดุลของโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อทำให้ประเทศพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจในอนาคตข้างหน้าด้วยระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ เพิ่มเติมจากระบบปัจจุบัน
"อีกงบที่น่าสังเกตคืองบการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น ที่ควรให้งบประมาณกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีรายได้น้อยมากกว่าให้งบประมาณกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีรายได้ดีอยู่แล้ว และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีรายได้ดีอยู่แล้วหาทางจัดเก็บรายได้ของตนเองให้มากขึ้น หากโครงสร้างของงบประมาณยังเป็นอย่างนี้ การปกครองส่วนท้องถิ่นก็ไม่เต็มศักยภาพ การกระจายไปสู่ท้องถิ่นที่ยากจนก็เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นโครงสร้างจึงต้องรื้อกันขนานใหญ่ เพื่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ" นายสถิตย์ กล่าว
No comments